{{ cart.length }} item | {{ total }} บาท
ในปัจจุบัน ก๊าซเรือนกระจกกว่า 51 พันล้านตันถูกปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้นในแต่ละปี เป็นหนึ่งในสาเหตุของภาวะโลกร้อน ในขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมแฟชั่นเป็นตัวการปล่อยก๊าซเรือนกระจกนับเป็น 10% ของจำนวนทั้งหมด ตั้งแต่กระบวนการ ปลูกฝ้าย, ปั่นด้าย, ทอผ้า, ฟอกย้อม, ตัดเย็บ, จนส่งถึงมือลูกค้า โดยในแต่ละปี ขยะสิ่งทอกว่า 92 ล้านตันจะถูกนำไปฝังกลบ หรือ เผาทำลาย เพิ่มผลกระทบที่ร้ายแรงต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
อุตสาหกรรมแฟชั่นก่อให้เกิดขยะสิ่งทอจำนวนมาก อีกทั้งยังมีความต้องการใช้ทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมหาศาลในการผลิต ถือเป็นหนึ่งในตัวแปรหลักที่สร้างผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อม ปริมาณน้ำสะอาดจำนวน 79 พันล้านลูกบาศก์เมตร ถูกนำไปใช้ในกระบวนการปลูกฝ้าย และ กระบวนการฟอกย้อม นับเป็นปริมาณเทียบเท่ากับสระว่ายน้ำขนาดมาตรฐานโอลิมปิคจำนวนกว่า 32 ล้านสระ
นอกจากนั้น 15% ของมลพิษปนเปื้อนในแหล่งน้ำเกิดจากกระบวนการฟอกย้อมจากโรงงานที่ไม่ได้มาตรฐาน และ กระบวนการปลูกฝ้ายที่ไม่ได้มาตรฐาน โดยมีการใช้สารเคมีจำพวก ยาฆ่าแมลง และ สารกำจัดศัตรูพืชในปริมาณที่มากจนเกินควร ทำให้สารเคมีเหล่านี้แทรกซึมลงไปที่น้ำผิวดิน และ แหล่งน้ำใต้ดินก่อให้เกิดการปนเปื้อน
การเลือกใช้ของเสียจากอุตสาหกรรมสิ่งทอ ไม่ว่าจะเป็นเศษด้ายจากโรงงานทอผ้า เศษผ้าจากโรงงานตัดเย็บ เสื้อผ้าเก่าที่ผ่านการใช้งานแล้ว รวมถึงของเสียจากอุตสาหกรรมอื่น ๆ มาผ่านกระบวนการรีไซเคิลเพื่อกลายเป็นผ้าใหม่นั้น ช่วยลดความต้องการในการใช้วัตถุดิบที่ต้องปลูกหรือผลิตขึ้นใหม่ ทำให้ช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติในการผลิตได้ในปริมาณมาก
อุตสาหกรรมสิ่งทอมีการใช้ทรัพยากรน้ำปริมาณมหาศาล โดยการปลูกฝ้าย 1 กิโลกรัม อาจจะต้องใช้น้ำสะอาดเฉลี่ยถึง 10,000 ลิตร การใช้วัตถุดิบที่มาจากกระบวนการรีไซเคิลจึงสามารถช่วยลดการใช้น้ำในกระบวนการผลิตได้สูงสุดถึง 99%
นอกจากการเลือกใช้วัตถุดิบจากการรีไซเคิลจะช่วยลดการใช้พลังงานในขั้นตอนการผลิตได้แล้วนั้น SC GRAND ยังมีการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ภายในบริเวณโรงงานเพื่อเป็นส่วนช่วยในด้านพลังงานหมุนเวียนอีกด้วย
กระบวนการผลิตที่ใช้วัตดุดิบที่มาจากการรีไซเคิล ผนวกกับการเลือกใช้พลังงานหมุนเวียนภายในโรงงาน มีส่วนช่วยในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซ CO2 ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของโลกร้อน
กิโลกรัม
น้ำ
พลังงาน
ก๊าซ CO2